กลับมาพบกันอีกรอบด้วยภาระหน้าที่ทำให้ผมไม่ได้เข้ามาเขียนมากนัก แต่ตอนนี้จะพยายามเขียนให้มากขึ้น วันนี้ขอเล่าเรื่องการท่องเที่ยว เพราะเป็นที่รู้กันว่าการท่องเที่ยวคือหนึ่งในเสาหลักที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจไทย ถูกขนานนามว่าเป็น "เครื่องยนต์เครื่องที่สี่" ที่ขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศ สร้างงาน สร้างรายได้ และนำเม็ดเงินมหาศาลเข้าสู่ประเทศ แต่ปัจจุบัน เครื่องยนต์เครื่องนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักหน่วงจนอาจกล่าวได้ว่ากำลังจะ "ดับ" ลง หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงและยกระดับอย่างจริงจัง
วิกฤตการณ์ของการท่องเที่ยวไทย
ปัญหาที่การท่องเที่ยวไทยกำลังเผชิญอยู่นั้นมีหลากหลายมิติ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาดที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปัญหาเชิงโครงสร้างและแนวทางการพัฒนาที่ขาดความยั่งยืน
• การพึ่งพานักท่องเที่ยวกลุ่มเดิมมากเกินไป: ไทยยังคงพึ่งพานักท่องเที่ยวจากตลาดหลักบางประเทศมากเกินไป โดยเฉพาะจีน ซึ่งเมื่อเกิดวิกฤตการณ์หรือการเปลี่ยนแปลงในประเทศเหล่านั้น ก็จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทยอย่างรุนแรง
• การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น: ประเทศเพื่อนบ้านและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคต่างพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของตนเองอย่างรวดเร็ว พร้อมนำเสนอประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าสนใจ ทำให้ไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น
• ปัญหาเชิงคุณภาพและสิ่งแวดล้อม: การท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นปริมาณมากเกินไปในอดีต ทำให้เกิดปัญหาโอเวอร์ทัวริซึ่มในหลายพื้นที่ แหล่งท่องเที่ยวเสื่อมโทรม ขาดการบำรุงรักษาที่ดี และปัญหาขยะที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและภาพลักษณ์โดยรวม
• การขาดการกระจายตัวของรายได้: รายได้จากการท่องเที่ยวมักกระจุกตัวอยู่กับผู้ประกอบการรายใหญ่หรือพื้นที่ท่องเที่ยวหลักบางแห่ง ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยและชุมชนท้องถิ่นไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่
• การปรับตัวช้าต่อเทคโนโลยีและพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป: การท่องเที่ยวไทยยังขาดการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้อย่างเต็มที่ ทั้งในด้านการโปรโมท การจอง หรือการสร้างประสบการณ์ที่เข้าถึงและตอบโจทย์พฤติกรรมนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่ค้นหาข้อมูลและวางแผนการเดินทางด้วยตัวเองมากขึ้น
กรณีศึกษาจากพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ
เพื่อเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ลองพิจารณากรณีศึกษาจากจังหวัดท่องเที่ยวหลักที่เคยเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาล แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายที่แตกต่างกันไป
• เชียงใหม่: ในฐานะศูนย์กลางวัฒนธรรมและธรรมชาติทางภาคเหนือ เชียงใหม่เคยประสบปัญหา "โอเวอร์ทัวริซึ่ม" อย่างหนักก่อนเกิดโรคระบาด ทั้งปัญหาการจราจรติดขัด มลพิษทางอากาศ (PM 2.5) และการบุกรุกพื้นที่ธรรมชาติเพื่อสร้างที่พัก ทำให้เสน่ห์ดั้งเดิมของเมืองลดลง การพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนและตลาดเอเชียบางกลุ่มมากเกินไป ทำให้เมื่อเกิดวิกฤต จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างฮวบฮาบ การยกระดับสำหรับเชียงใหม่จึงต้องเน้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสุขภาพที่มีคุณภาพสูงขึ้น ควบคุมการพัฒนาให้สอดคล้องกับผังเมืองและสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนในพื้นที่รอบนอกเพื่อกระจายรายได้และลดความแออัดในตัวเมือง
• ภูเก็ต: "ไข่มุกอันดามัน" แห่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมระดับโลก แต่ก็เผชิญกับปัญหาการแข่งขันที่สูงจากแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลอื่น ๆ การเสื่อมโทรมของทรัพยากรทางทะเลจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากเกินไป รวมถึงปัญหาขยะ และการบริการที่ยังไม่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวคุณภาพสูงเท่าที่ควร ภูเก็ตจำเป็นต้องมุ่งเน้นการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลอย่างจริงจัง พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงกีฬาทางน้ำ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับพรีเมียม และการท่องเที่ยวแบบ MICE (การประชุม สัมมนา และนิทรรศการ) เพื่อดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงและกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพานักท่องเที่ยวกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
• กระบี่: ด้วยความโดดเด่นของหมู่เกาะและหน้าผาหินปูน กระบี่เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยม แต่ก็ประสบปัญหาคล้ายกับภูเก็ตในเรื่องของการเสื่อมโทรมของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติบางแห่ง และการพึ่งพานักท่องเที่ยวกลุ่มเดิม การยกระดับสำหรับกระบี่ควรเน้นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและการผจญภัยที่ยั่งยืน ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น เกาะลันตา หรืออ่าวนาง เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวิถีชีวิตท้องถิ่นและกระจายรายได้สู่ชุมชน พร้อมทั้งควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวที่เปราะบางอย่างเข้มงวด
แนวทางการยกระดับการท่องเที่ยวไทย: จุดประกายเศรษฐกิจไทย
การที่จะฟื้นฟูและยกระดับการท่องเที่ยวไทยให้กลับมาเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืนได้นั้น จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และแนวคิดอย่างรอบด้าน
1. มุ่งเน้นการท่องเที่ยวคุณภาพและยั่งยืน (Quality and Sustainable Tourism):
- ลดการพึ่งพาปริมาณ เพิ่มคุณภาพ: ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงและใช้จ่ายมาก เพื่อลดภาระต่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
- พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และวัฒนธรรม: ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่คำนึงถึงผลกระทบต่อธรรมชาติ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชุมชนมากขึ้น
- จัดการปัญหาโอเวอร์ทัวริซึ่มอย่างจริงจัง: กำหนดมาตรการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวในพื้นที่เปราะบาง และฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวที่เสื่อมโทรม
2. ขยายตลาดใหม่และเจาะกลุ่มเฉพาะ (New Market and Niche Segments):
- กระจายความเสี่ยง: ลดการพึ่งพาตลาดเดิม และเปิดตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง อินเดีย หรือกลุ่มประเทศยุโรปอื่น ๆ
- พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเฉพาะ: ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีความสนใจพิเศษ เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical & Wellness Tourism), การท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sports Tourism), การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism), การท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ (MICE) เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างความหลากหลาย
3. ยกระดับประสบการณ์และโครงสร้างพื้นฐาน (Enhanced Experience and Infrastructure):
- พัฒนาสินค้าและบริการใหม่ ๆ: สร้างสรรค์กิจกรรมและประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ไม่ใช่แค่การนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวเดิม ๆ
- ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน: พัฒนาระบบคมนาคมขนส่งให้สะดวกสบาย ปลอดภัย และเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนาโครงข่ายอินเทอร์เน็ตให้ครอบคลุม
- นำเทคโนโลยีมาใช้: พัฒนาแพลตฟอร์มการท่องเที่ยวออนไลน์ที่ทันสมัย ระบบจองที่พักและกิจกรรมที่ง่ายดาย และการใช้ AI หรือ Big Data เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมนักท่องเที่ยวและนำเสนอโปรโมชั่นที่ตรงใจ
4. ส่งเสริมการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น (Local Empowerment and Income Distribution):
- พัฒนาการท่องเที่ยวชุมชน: สนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการและได้รับผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวโดยตรง
- ส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs: ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการท่องเที่ยวรายย่อยในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ความรู้ และช่องทางการตลาด
- สร้างความเชื่อมโยงกับสินค้าและบริการท้องถิ่น: สนับสนุนให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสและซื้อสินค้า OTOP หรือผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเพื่อกระจายรายได้
5. การทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ (Integrated Collaboration):
- ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน: ทุกภาคส่วนต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและจริงจัง เพื่อกำหนดทิศทาง พัฒนา และโปรโมทการท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ
- สร้างบุคลากรที่มีคุณภาพ: พัฒนาทักษะและศักยภาพของบุคลากรในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพและสามารถให้บริการนักท่องเที่ยวได้อย่างมืออาชีพ
การท่องเที่ยวไทยกำลังยืนอยู่บนทางแยกที่สำคัญ หากไม่เร่งปรับตัวและยกระดับอย่างจริงจัง เครื่องยนต์ที่เคยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเครื่องนี้ก็อาจจะดับลงในไม่ช้า แต่หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างเข้าใจและมุ่งมั่น การท่องเที่ยวไทยจะสามารถกลับมาเป็นเครื่องยนต์ที่ทรงพลังยิ่งกว่าเดิม และเป็นแรงขับเคลื่อนที่ยั่งยืนให้กับประเทศได้อย่างแน่นอน และที่สำคัญ ตลาดนักท่องเที่ยวจีนคือตลาดที่สำคัญ วันนี้ เราท่องแต่คำว่า "จีนเทา" ทั้ง ๆ ที่นักท่องเที่ยวจีน ไม่ใช่กลุ่มจีนเทา แต่เป็นกลุ่มที่จะมาเติมพลังให้เครื่องยนต์ตัวสุดท้ายของเรา ครั้งหน้าจะมาเขียนเรื่องตลาดนักท่องเที่ยวจีนเพื่อขยายต่อเรื่องนี้ครับ
เกี่ยวกับผู้เขียน รศ.ดร.ศิวฤทธิ์ พงศกรรังศิลป์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองอธิการบดี (ด้านวิจัย) มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และรองศาสตราจารย์สาขาการตลาดดิจิทัล สำนักวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ Email: psiwarit@gmail.com Profile: https://rps.wu.ac.th/researchersInfo/00000043