Sunday 15 December 2013

พลังอำนาจของลูกค้าในยุค 3.0 กรณีศึกษา มวลมหาประชาชน

ผศ.ดร.ศิวฤทธิ์ พงศกรรังศิลป์
หน่วยวิจัยการบริโภคและเศรษฐกิจยั่งยืน
สำนักวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์

          สวัสดีครับทุกท่าน ผมเขียนบทความนี้ในช่วงที่บรรยากาศทางการเมืองในบ้านเรายังครุกรุ่น และร้อนแรง เนื่องจากมีพลังมวลชนที่ออกมาแสดงพลังกันในช่วงที่ผ่านมาจำนวนมาก ดังที่เราเห็นกันด้วยตา หน้าจอทีวีที่ช่วงแรก ๆ ของการแสดงพลังฟรีทีวีไม่สนใจที่จะนำเสนอเรื่องราวข่าวสาร แต่ท้ายสุดก็ถูกกดดันจากมวลชนในการนำเสนอข่าวสารของกลุ่มผู้ชุมนุม และแม้ว่าจะยังมีความขัดแย้งในเรื่องของจำนวนผู้ออกมาเดินบนท้องถนนในวันที่ 9 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมาว่าหลักแสน หรือหลักล้าน ผมเชื่อว่าเราสามารถตัดสินใจได้ด้วยสายตาที่มองเห็นแต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้เห็นปรากฎชัดเจนมากขึ้นคือ พลังอำนาจของลูกค้า หรือ Consumer Empowerment ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการรวมพลังของกลุ่มคนที่เป็นลูกค้าคนหนึ่งในระบบสังคม หรือในแง่ของการเชื่อข้อมูลข่าวสารที่ออกมาจากกลุ่มลูกค้าเองมากกว่าที่จะเชื่อข้อมูลข่าวสารจากสื่อมวลชนที่ลูกค้าเชื่อว่าถูกครอบงำจากผู้มีอำนาจ มากกว่าที่จะเชื่อรายงานจากโฆษกของหน่วยงานที่รับผิดชอบ ซึ่งปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นผมได้พูดไว้ตั้งแต่ตอนที่กลับมาเมืองไทยในปี พ.ศ. 2553 เกี่ยวกับบทบาทเชิงรุกของลูกค้า (Active Consumers) ที่ได้รับการยอมรับจากทั้งนักวิชาการและวงการธุรกิจในหลายประเทศถึงบทบาทนี้ของลูกค้าภายในหลักคิดกระบวนการสร้างคุณค่าร่วมกัน (Value Co-Creation) ที่กำลังเกิดขึ้นในหลาย ๆ วงการหรือสถานการณ์ และในหลาย ๆ ประเทศ รัฐบาลหลายรัฐบาลต้องเผชิญกับพลังอำนาจของลูกค้า เช่น ซีเรีย กัมพูชา อียิปต์ หรือยูเครน 
ที่มา: ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต http://www.talkystory.com/?p=70630

          หากจะอธิบายถึงปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ผมขอยกบทความที่ผมเขียนเกี่ยวกับกระบวนการสร้างคุณค่าร่วมกันระหว่างกลุ่มลูกค้า โดยผมเขียนร่วมกับ Prof.Jonathan Schoreder แห่ง Rochester Institute of Technology, USA เพื่อนำเสนอบทบาทเชิงรุกของลูกค้า (Active Consumers) ลงใน Marketing Theory ที่ตอนนี้ยังติดอันดับบทความที่อ่านมากที่สุด 1 ใน 20 จนถึงปัจจุบัน แต่ในบทความนั้นผมนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับแฟนฟุตบอลสโมสรลิเวอร์พูลในบทบาทเชิงรุกการสร้างวัฒนธรรมของแฟนบอลลิเวอร์พูล แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่คล้ายคลึงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเรา และเรื่องนี้ก็เป็นประเด็นที่นักศึกษาหลักสูตร CEO MBA มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยที่ผมรับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษไปสอนได้ถามขึ้นว่าเราจะวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นที่ราชดำเนินกับกระบวนการสร้างคุณค่าของลูกค้าได้ไหม เข้าทางเลยครับ เพราะก่อนหน้านี้ผมก็วิเคราะห์ร่วมกับเพื่อน ๆ ในวงการถึงปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในแง่เชิงการบริโภค (Consumption) และเคยชี้ให้หลาย ๆ องค์กรที่ผมไปบรรยายเรื่องการตลาดฟังไว้ว่าหลายประเทศหรือหลายคนล้มเพราะเครือข่ายสังคมออนไลน์ และสิ่งที่เป็นการรวมตัวหรือรวมพลังคนในครั้งนี้คือ เครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะ Facebook และ Line ที่มีการแชร์เรื่องราวหรือส่งข่าวบอกต่อ ๆ กันไป ทั้ง ๆ ที่หน่วยงานที่รับผิดชอบการรักษาความสงบในประเทศไทยได้พยายามส่งข่าวสารอีกชุดหนึ่งให้กับประชาชน แต่ประชาชนหรือลูกค้าเลือกที่จะรับข้อมูลข่าวสารจากกลุ่มลูกค้าด้วยกัน (Fellows) มากกว่าที่จะรับฟังจากนักการตลาดหรือฝั่งผู้ผลิต ผมชี้ให้เห็นได้เลยว่าลองดูจากการที่เราจะเลือกซื้อของหรือใช้บริการสินค้าหรือบริการใดก็ตาม เราจะหาข้อมูลจากไหน ถามพนักงานขาย หรือรออ่าน Review จากเพื่อนหรือลูกค้าคนอื่น ๆ
          คราวนี้มาดูว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมีอิทธิพลจากอะไร ผมขอยกรูปที่ผมนำเสนอในบทความที่ผมกล่าวไว้ข้างต้นเกี่ยวกับกระบวนการสร้างคุณค่าร่วมกันระหว่างลูกค้า ซึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้คนออกมากันมากขึ้นเกิดจากคนที่ออกมาชุมชนนั้นเป็นให้ทั้งผู้ให้ (Provider) และ ผู้รับ (Beneficiary) นั่นคือ คนคนหนึ่งจะเป็นคนทั้งผู้นำเสนอเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์เอง หรือการแชร์เรื่องราว รูปภาพ หรือข้อมูลที่ตนเองได้รับออกไปผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนอื่น ๆ บน Facebook (กระบวนการฝั่งซ้ายมือของรูป) ในขณะเดียวกัน คน ๆ นั้นก็จะมีการรออ่านเรื่องราวจากคนอื่น ๆ แล้ว (กระบวนการฝั่งขวาของรูป) ก่อนที่จะเคลื่อนตัวเองไปฝั่งซ้ายด้วยการส่งต่อหรือนำเสนอเรื่องราวใหม่ ๆ ให้กับเพื่อนหรือคนรู้จัก และทุกคนพร้อมใจที่จะส่งต่อเรื่องราวเหมือนกัน ระเบิดลูกสำคัญของคนยุคนี้ที่ผมเรียกว่าเป็น Generation F ไม่ต้องไปหาแล้วว่าเราอยู่ X Y หรือ Z ตอนนี้มียุคเดียวครับ คือ Generation F คือยุคที่คนเรามีพฤติกรรมถ่ายก่อนกิน และชอบโชว์ ดังนั้น การ Show & Share จึงเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่ส่งผลต่อลูกค้าหรือคนอื่น ๆ ในวงกว้าง และเป็นตัวที่ทำให้ผู้คนอยากที่จะออกมารวมตัวกัน โดยสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยคือ คนที่ออกมาต้องการเป็นผู้ให้มากกว่าจึงทำให้มีการส่งต่อและการเชิญชวนผู้คนให้ออกมาร่วมกัน ดังเห็นได้จากเครือข่ายออนไลน์ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่รวมศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันจำนวนมาก อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้นที่มีการส่งต่อการนัดหมายกันและสามารถดึงคนออกมาได้มาก

ที่มา: Pongsakornrungsilp and Schoreder (2011) Marketing Theory 11(3)

          สิ่งที่ผมกล่าวมาหากมองในเชิงการตลาด การบริโภคเป็นสัญญาณที่บ่งชี้อย่างชัดเจนว่าต่อไปนี้ ธุรกิจต่าง ๆ หรือนักการตลาดจะทำอะไรที่ไม่ถูกต้องหรือเอาเปรียบลูกค้าจะต้องระวังหรือให้ความสำคัญกับพลังอำนาจของลูกค้า (Consumer Empowerment) ที่มีพลัง สามารถท้าทายอำนาจของธุรกิจที่เป็นเจ้าของแบรนด์ตามกฏหมาย ซึ่งปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเราเป็นเรื่องของการต่อต้านของลูกค้า (Consumer Resistant) ที่ลูกค้าต้องการแสดงพลัง และไม่ยอมให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบกันอีกต่อไป เพียงแต่ว่าในสังคมไทยอาจจะต้องเรียนรู้วิธีการแสดงพลังของลูกค้า สำหรับผมในฐานะที่เป็นนักการตลาดก็จะคอยจับตาและดูกระบวนการเคลื่อนไหวของลูกค้า โดยมองสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแง่ของการบริโภค ซึ่งจากช่วงเวลาที่ผ่านมาผมอาศัยบริบทของพระเครื่อง หวยใต้ดิน ฟุตบอล สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อ พุทธศาสนา ชุมชน เศรษฐกิจพอเพียง ฯลฯ เป็นบริบทที่ใช้ทำความเข้าใจของพฤติกรรมการบริโภค และผมเชื่อว่าการกระทำใด ๆ ของคนเราตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงนอนหลับเป็นการบริโภคที่มีความหมายทั้งสิ้น หลายท่านอาจจะสงสัยว่าแล้วจะมีประโยชน์อะไรกับการตลาด ลองดูสิครับว่าการกระทำหรือบริโภคใด ๆ แม้ว่าจะไม่มีตัวสินค้าเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง เช่น การรวมกลุ่มกันของกลุ่มรักมอเตอร์ไซด์คลาสสิค หรือแม้แต่กลุ่มมวลมหาประชาชนที่ราชดำเนิน สิ่งที่คนเหล่านั้นกำลังบริโภคคือ “กลุ่ม และ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล” แต่ก็มีมอเตอร์ไซด์ หรือสิ่งของประจำตัวมวลมหาประชาชนที่เป็นนกหวีด สายรัดข้อมูล ผ้าโพกหัว เสื้อ เป็นต้น ซึ่งสิ่งที่ใช้ในการบริโภค (Consumption Objects) เหล่านี้ก็คือสิ่งของที่มาจากการตลาดเท่านั้น เมื่อเราเข้าใจกระบวนการที่เกิดขึ้นก็อยู่ที่ว่าเราจะนำมาประยุกต์ใช้ในการตลาดได้อย่างไรเท่านั้นครับ
          วันนี้เขียนยาวไปนิด แต่เนื้อเรื่องไม่จบครับ ซึ่งครั้งต่อไปผมจะมาต่อด้วยเรื่อง How Consumers Consume ซึ่งเป็นบทความการตลาดสุดคลาสสิคที่เขียนในปี ค.ศ. 1995 แต่ยังคงเป็นเรื่องที่นักการตลาดทุกคนต้องอ่านเพราะจะเกี่ยวเนื่องกับการบริโภคและวัฒนธรรมผู้บริโภค และเช่นเดียวกัน หากท่านผู้อ่านมีประเด็นหรือข้อแนะนำเพิ่มเติม ด้วยความยินดีครับ ส่ง email มาที่ psiwarit@gmail.com ขอให้ทุกท่านมีความสุขครับ

Siwarit Valley 2013 ©สงวนลิขสิทธิ์ เอกสารใน Blog นี้ ห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์โดยมิได้รับอนุญาตอนุญาตให้ใช้เพื่อการศึกษาได้ โดยต้องใช้ตามต้นฉบับเดิมห้ามแก้ไข ดัดแปลง

Welcome to Siwarit Valley

My photo
Nakhon Sri Thammarat, Thailand
สำนักวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช Thailand